วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555

สัตว์เลี้ยงช่วยหายเครียดได้จริงหรอ??


สัตว์เลี้ยงช่วยหายเครียดจริงหรอ?????


              (ว่าแต่ว่าใครจะไปกล้าเล่นกะเจ้าตัวนี้ล่ะเนี่ย >_<")

มีผลการวิจัยมากมายที่กล่าวว่า การใช้เวลากับสัตว์เลี้ยงจะช่วยลดความเครียดได้ดี โดยมีการศึกษากับคู่รัก 240 คู่ โดยครึ่งหนึ่งเป็นคู่รักที่มีสัตว์เลี้ยงเป็นของตัวเอง พบว่ากลุ่มที่เลี้ยงสัตว์นั้น มีระดับการเต้นของหัวใจ และความดัน ต่ำกว่ากลุ่มคู่รักที่ไม่มีสัตว์เลี้ยง ทั้งนี้ยังพบอีกว่า ในบางครั้งสัตว์เลี้ยงยังช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดได้ดีกว่าคู่รักด้วยซ้ำ แสดงว่าบางบ้านคงมีความสุขน่าดูนะคะ เห็นเล่นเกมตบยุง เกมวิ่งหนีแมลงสาบ กันสนุกเชียว

วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555

10เมนูแนะนำมื้อเช้า



10เมนูแนะนำมื้อเช้า

อาหารเช้าถือเป็นหนึ่งมือสำคัญ ที่ต้องรับประทาน เพื่อที่จะได้พลังงาน ไว้เผาพลาญในการใช้ชีวิต วันนี้วอยซ์ ทีวี มี 10 อาหารเช้าที่ให้พลังงานมานำเสนอ

1.ไข่
เพราะไข่ให้พลังงานสูง และมีแคลอรี่ รวมทั้งมีสารอาหารที่สำคัญมากกว่า 13 ชนิด รวมไปถึงวิตามินและสังกะสี และช่วยระบบคุ้มกัน และการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อ



2.ข้าวโอ๊ตบด
ข้าวโอ๊ตถือว่ามีวิตามินและแร่ธาตุ รวมทั้งเส้นใยโปรตีน และให้พลังงานอย่างสูง และยังช่วยในเรื่องความจำ


3.เนยถั่ว
เนยถั่วทำจากถั่วเช่นอัลมอนด์เม็ดมะม่วงหิมพานต์และถั่วลิสงถือว่าเต็มไปด้วยวิตามินอีโปรตีนแมกนีเซียมแคลเซียมและโพแทสเซียม หากใครที่กังวลในเรื่องไขมัน เนยถั่วนั้นช่วยคุณได้ นอกจากนั้นในเนยถั่วยังมีไขมันดีอีกด้วย


4. ขนมปังโฮลเกรน
เป็นธัญพืชที่ช่วยสร้างความมั่นคงระดับน้ำตาลในเลือดและเติมเต็มคุณไปจนถึงอาหารมื้อต่อไป


5.ผักใบเขียว
ผักโขม,ผักคะน้า หรือผักใบเขียวชนิดอื่นๆ ทั้งหมดนี้ถือว่ามีเส้นใยอาหาร เกลือแร่,สารต้านอนุมูลอิสระ ไปจนกระทั่งถึงวิตามิน


6.ผลไม้
โดยทั่วไปแล้วผลไม้นั้นเต็มไปด้วยใยอาหาร (ลูกแพร์, แอปเปิ้ล, เบอร์รี่, และ กีวี), ขณะที่พวกที่มีวิตามิน ซีก็คือ (มะละกอ, ส้ม),ส่วนผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระต้านโรค (สตรอเบอร์รี่, บลูเบอร์รี่ และ blackberries) ทางด้าน กล้วย ก็มี เซลล์และโปแตสเซียมที่สร้างกล้ามเนื้อ


7.เมล็ดถั่ว
ถั่วและเมล็ดเมล็ดฟักทอง นั้นมีส่วนโปรตีนวิตามินอีและกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่ทำหัวใจแข็งแรง รวมถึงไขมันโอเมก้า 3


8.โยเกิร์ต
ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยได้เห็นการโยเกิร์ตปรุงอาหาร แต่โยเกิร์ตนี่แหละเป็นแหล่งที่ดีของแคลเซียมและโปรตีน


9.เนื้อสัตว์บางๆ
ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ให้พลังงานในยามเช้า นอกเหนือจากไข่


10.ชีส มอซซาเรลล่า
เป็นเนยแข็งที่ไขมันต่ำแถมยังให้โปรตีนและแคลเซียมสูง

วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

รู้มั๊ย!!แอปเปิ้ลแต่ละสีต่างกันยังไง????




รู้มั๊ย!!แอปเปิ้ลแต่ละสี ต่างกันยังไง??

แอปเปิ้ล ผลไม้ยอดนิยม นอกจากรูปร่างจะน่ารับประทานแล้ว ยังมีประโยชน์มากมายอีกด้วย แอปเปิ้ลในท้องตลาดมีอยู่หลายสี แต่ละสีก็มีประโยชน์แตกต่างกัน

หลายคนไม่ชอบทานเปลือกแอปเปิ้ล ซึ่งนั่นผิดมหันต์ เพราะจะทำให้คุณค่าจากสารอาหารที่จะได้รับจากผลไม้ชนิดนี้ ลดลงไปอย่างมาก ประโยชน์ของแอปเปิ้ลที่คุณควรรู้มีดังต่อไปนี้


แอปเปิ้ลที่เห็นตามท้องตลาด มีทั้งเปลือกสีแดง สีชมพู สีเขียว และสีเหลือง แตกต่างกันไปตามแต่ละสายพันธุ์ แต่เนื้อข้างในก็เหมือนกันคือ เป็นเนื้อทรายละเอียดสีขาวนวล ทราบไหมว่า เมื่อรับประทานแอปเปิ้ลโดยไม่ปอกเปลือก 1 ผล จะได้รับพลังงานประมาณ 80 กิโลแคลอรี่ มีวิตามินบี 6 เท่ากับ 0.1 มิลลิกรัม และวิตามินซีมากถึง 7.9 มิลลิกรัม
นอกจากนั้นยังมีสารเบต้าแคโรทีน และเส้นใยไฟเบอร์ ช่วยในเรื่องของการบำรุงหัวใจ ลดคอเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด กระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ และฆ่าเชื้อไวรัส 

แต่ถ้าปอกเปลือกปริมาณสารอาหารดังกล่าวก็จะลดลงไปด้วย มีความเชื่อของฝรั่งกล่าวไว้ว่า การรับประทานแอปเปิ้ลวันละผล ช่วยให้ห่างไกลหมอได้ โดยแอปเปิ้ลแต่ละสีก็มีประโยชน์ต่างกันดังนี้

แอปเปิ้ลสีแดง
ประโยชน์ที่โดดเด่น คือ มีสารแอนตี้ออกซิแดนต์มากที่สุด และยังมีอิลาสตินและคอลลาเจนที่ดีต่อสุขภาพผิวอีกด้วย

แอปเปิ้ลสีชมพู
คุณค่าทางสารอาหารที่สำคัญคือ มีสารฟิโนลิกมากที่สุด ซึ่งสารตัวนี้ช่วยยับยั้งการเกิดฝ้าและชะลอความแก่ นอกจากนั้นยังมีฟลาโวนอยด์ที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมวิตามินซี ทำให้ผนังหลอดเลือดฝอยแข็งแรง ลดการอักเสบ ลดไข้ รวมทั้งช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟันได้อีกด้วย

แอปเปิ้ลสีเขียว
มีรสเปรี้ยวอมหวาน ช่วยในเรื่องการควบคุมน้ำหนักได้ดี เพราะมีน้ำตาลน้อย และมีสารอิลาสตินและคอลลาเจนเช่นเดียวกัน ช่วยให้ผิวแข็งแรงและยืดหยุ่นได้ดี

แอปเปิ้ลสีเหลือง
มีสารเควอร์ซิติน ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และต้อกระจก

วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2555

งานบ้านช่วยเผาผลาญพลังงานสุดๆๆ



งานบ้านช่วยเผาผลาญพลังงานสุดๆๆ

ทำงานบ้านต่อเนื่องทุกวันเป็นเวลา 1 ชั่วโมง ช่วยเผาผลาญพลังงานส่วนเกิน ป้องกันโรคอ้วน สาเหตุของโรคแห่งความเสื่อม เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดหัวใจตีบ และ ข้อเข่าเสื่อม ได้
ถ้าพร้อมปฏิบัติการแล้ว หยิบตะหลิว และไม้กวาดข้างกาย มาลุยกันเลยค่ะ

งานบ้าน เผาผลาญพลังงาน (กิโลแคลอรี)*
ทำอาหาร 150
ซักผ้า 120
รีดผ้า 138
กวาดพื้น 150
ตัดหญ้า 330


* พลังงานเฉลี่ยที่ร่างกายเผาผลาญในเวลา 1 ชั่วโมง ของผู้ที่มีน้ำหนัก 60 กิโลกรัม


ใครฟิตทำงานบ้านครบ 5 อย่าง ร่างกายจะเผาผลาญพลังงานรวมทั้งสิ้น 888 กิโลแคลอรี สามารถลดน้ำหนักได้ สัปดาห์ละ 1-2 กิโลกรัมเลยทีเดียว
บ้านสะอาดแถมได้ความอ่อนเยาว์ อย่าลืมทำเป็นประจำนะคะ

วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2555

ไขความลับการนอนหลับ!!!


ไขความลับการนอนหลับ!!!!!

เป็นเรื่องใกล้ตัวมากที่สุด อย่างที่รู้ๆ กันว่าวิธีพักผ่อนที่ดีที่สุด คือ การนอน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะหลับสบายยามหัวถึงหมอน หรือ หลับได้ทุกที่ทุกสถานการณ์ การนอนสำคัญและเกี่ยวข้องกับปัจจัยอื่นๆ มากกว่าที่คิด หากอาการนอนไม่หลับ หลับไม่สนิท หรือง่วงหลับประจำตอนกลางวัน อะไรเป็นสาเหตุที่แท้จริง และ ปัญหาใดเป็นความเชื่อผิดๆ กันแน่?


ความเชื่อ : ขณะนอนหลับพักผ่อน ร่างกายกับสมองจะหยุดพัก ไปด้วย
ข้อเท็จจริง : ขณะหลับ ร่างกายจะหยุดพักผ่อน แต่สมองยังคงทำงาน การนอนหลับเป็นการลดภาระให้สมองทำงานเบาลง เสมือนว่าได้ชาร์จแบต- เตอรี่เพื่อเตรียมพร้อมทำงานในวันต่อไป แต่ก็ยังคงต้องควบคุมการทำงาน อวัยวะต่างๆ ของร่างกายอยู่ ไม่ว่าจะเป็นระบบหายใจ ระบบประสาท ฯลฯ

ความเชื่อ : ผู้สูงอายุไม่จำเป็นต้องนอนมาก
ข้อเท็จจริง : ไม่จริง ผู้สูงอายุต้องการนอนหลับพักผ่อนประมาณ 7-9 ชั่วโมงต่อวัน เช่นเดียวกับคนหนุ่มสาว แต่อายุที่มากขึ้นประกอบกับการทำงาน ของอวัยวะในร่างกายเริ่มเสื่อมไปตามเวลา ทำให้กิจวัตรประจำวันเปลี่ยน แปลงไป ส่งผลให้พฤติกรรมการนอนไม่เหมือนเดิม นอนหลับได้น้อยชั่วโมงลง หรือหลับๆ ตื่นๆ ตลอดคืน แต่ไม่ว่านอนหลับได้ไม่เต็มอิ่มอย่างไร ร่างกายก็ยังคงต้องการเวลาพักผ่อนให้ได้ 7-9 ชั่วโมงอยู่ดี

ความเชื่อ : นอนหลับพักผ่อนน้อยเป็นประจำ ร่างกายจะชินและ ไม่ต้องการนอนมากอย่างที่เคย
ข้อเท็จจริง : ไม่จริง เคยมีการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องการนอนว่า ในวัยผู้ใหญ่ หากนอนให้ได้ประมาณ 7-9 ชั่วโมงทุกวัน จะส่งผลให้สุขภาพ ร่างกายโดยรวมดีอย่างน่าทึ่ง หากวันไหนนอนหลับได้ไม่เพียงพอ ร่างกายก็จะชดเชยชั่วโมงนอนที่ขาดรวมกับชั่วโมงนอนในอีก 2-3 คืนถัดไป ไม่ว่าเรา จะนอนน้อยเป็นประจำหรืออดนอนนานแค่ไหน ร่างกายไม่มีวันชินหรือยอมรับ ให้นอนน้อยได้ เพราะฝืนธรรมชาติการพักผ่อนที่ร่างกายต้องการ

ความเชื่อ : ง่วงหาวตอนกลางวันแสดงว่านอนไม่พอ
ข้อเท็จจริง : จริง สาเหตุของอาการง่วงหาวตอนกลางวัน อาจมีส่วนหนึ่งมาจากการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ แต่ก็อาจเกิดกับคนที่นอนหลับเต็มอิ่มได้ด้วย และถ้าง่วงผิดสังเกต อาจเป็นสัญญาณเตือนว่ามีเรื่องสุขภาพอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น การกรนหรือหยุดหายใจขณะหลับ ทำให้ร่างกายขาด การพักผ่อนอย่างเต็มที่ ควรปรึกษาแพทย์

ความเชื่อ : นอนน้อยมีผลต่อน้ำหนัก
ข้อเท็จจริง : จริง หากนอนหลับไม่เพียงพอก็จะส่งผลต่อระบบฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะเลปตินและเกรลิน ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ ฮอร์โมนทั้ง 2 มีหน้าที่ควบคุมและสร้างสมดุลความต้องการอาหาร ฮอร์โมนเกรลินถูก ผลิตขึ้นในระบบทางเดินอาหาร มีหน้าที่กระตุ้นความอยากอาหาร ในขณะที่ เลปตินถูกผลิตในเซลล์ไขมัน ทำหน้าที่ส่งสัญญาณรับรู้ว่าอิ่มไปยังสมอง เมื่อได้รับอาหารพอดีกับความต้องการ ดังนั้นหากนอนหลับไม่เพียงพอ จะส่ง ผลให้ระดับเลปตินต่ำลง ร่างกายไม่รู้สึกอิ่มอย่างที่ควรจะเป็น ตรงกันข้าม ฮอร์โมนเกรลินจะเพิ่มมากขึ้น ทำให้อยากอาหารเพิ่มมากขึ้น จนกินเกินพอดี

วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2555

5 อาการรับมือขณะมีประจำเดือนของผู้หญิง !!!!!!!!


5 อาการต้องรับมือขณะมีประจำเดือนของผู้หญิง

อาการป่วยทางอารมณ์ ที่มักจะสังเกตุเห็นได้ชัดเจน ได้แก่ หงุดหงิด ขี้โมโห เครียด คิดมาก กังวล ท้อแท้ หลงลืม บางคนอาจมี อารมณ์แปรปรวนมาก เช่น ซึมเศร้า เพ้อ คลุ้มคลั่ง หรืออาจทำร้ายตัวเองอาการป่วยทางร่างกาย ที่เกิดขึ้นบ่อย ได้แก่ อาการปวดหรือเจ็บตามบริเวณต่างๆ เช่น เจ็บทรวงอก หรือหัวนม อาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดหลัง ท้องอืด วิงเวียนศีรษะ เป็นสิว อ่อนเพลีย ในสาวๆ บางคนอาจมีน้ำหนักเพิ่มได้ถึง 1-2 กิโลกรัม


1. ผู้หญิงเจ้าน้ำตา
เหมือนน้ำตากับผู้หญิงจะเป็นของคู่กัน แม้ในขณะมีประจำเดือนผู้หญิงก็ยังต้องมีเรื่องให้เสียน้ำตา แต่ไม่ได้เกิดจากอาการของความเสียใจนะคะ โดยลักษณะอาการขณะมีประจำเดือนนั้น ผู้หญิงจะรู้สึกหดหู่ และร้องไห้โดยไม่มีสาเหตุ ตัดสินใจอะไรยาก สับสน ขี้หลงขี้ลืม เหนื่อยง่าย รู้สึกร่างกายไม่ได้พักผ่อนเพียงพอ
วิธีการรับมือ ควรดูแล โภชนาการให้ดี บริโภคอาหารที่มีไขมันต่ำ และควรหาเวลางีบเมื่อรู้สึกเหนื่อย เช่น การทำสมาธิหรือเล่นโยคะ จะช่วยลดอาการเศร้า หดหู่ได้


2. ผู้หญิงขี้โมโห
หากผู้หญิงมีเรื่องให้ต้องหงุดหงิด อารมณ์เสีย ยิ่งโดยเฉพาะในช่วงวันนั้นของเดือนแล้วละก็ ความอดกลั้นของผู้หญิงอาจจะระเบิดออกมาได้ง่ายๆ ประเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย อารมณ์แปรปรวน หุนหันพลันแล่น ทำอะไรโดยไม่ยั้งคิด และรู้สึกสูญเสียโดยไม่มีสาเหตุอาการนี้เกิดขึ้นเพราะขาดน้ำตาลในเลือดทำให้หงุดหงิดง่าย
วิธีการรับมือ ควรรับประทานอาหารมื้อเล็ก ๆ แต่บ่อยครั้งขึ้น ออกกำลังกาย เช่น การเดิน หรือ การปั่นจักรยาน จะช่วยให้ร่างกายปล่อยเอ็นดอร์ฟินทำให้อารมณ์ดีขึ้น รวมทั้งควรบริโภควิตามินบี 6 และอย่าลืมบอกกล่าวคนใกล้ตัวด้วย เขาจะได้พร้อมที่จะให้อภัย^^


3. หน้าอกใหญ่ อ้วนขึ้น
ในขณะมีประจำเดือนผู้หญิงบางคน อาจมีความรู้สึกว่าหน้าอกใหญ่ขึ้น เช่นเดียวกับหน้าท้อง ที่รู้สึกแน่นขึ้นทั้งที่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย
วิธีการรับมือ กับอาการเช่นนี้ ควรลดการบริโภคเกลือ ออกกำลังกายให้ได้สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละไม่ต่ำกว่า 20 นาที เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อและขับน้ำส่วนเกินออกจากร่างกาย ทานอาหารที่มีโปรตีนและไฟเบอร์สูงจะช่วยให้หน้าอกกระชับขึ้น และหากมีอาการท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อย ควรงดการดื่มกาแฟและแอลกอฮอล์


4. หมดเรี่ยวหมดแรง
หากเกิดอาการหมดเรี่ยวแรงใจสั่น อารมณ์อ่อนไหวง่าย ร่างกายเจ็บปวดบ่อยโดยไม่มีสาเหตุ ขาดความกระตือรือร้นทางเพศ มีปัญหาเกี่ยวกับผิวในช่วงที่มีรอบเดือน เช่น สิว ฝ้า ปวดศีรษะ ปวดหลังไม่ต้องตกใจ เพราะในขณะที่ผู้หญิงมีประจำเดือนอาการต่าง ๆ เหล่านี้มักจะเกิดขึ้นอยู่เสมอ ซึ่งเกิดจากการผันแปรของฮอร์โมนเพศหญิงนั่นเอง
วิธีการรับมือ ควรงดอาหารหวานจัด แอลกอฮอล์ บุหรี่ และสารกระตุ้นทุกชนิด ควรเดินออกกำลังอย่างน้อยวันละ 30 นาที รวมทั้งบริโภควิตามินเอ เพื่อช่วยรักษาสภาพผิว


5. หิวบ่อย
อาการหิวอาจไม่เข้าใครออกใคร แต่ในผู้หญิงขณะมีประจำเดือนอาจหิวบ่อยกว่าปกติ อยากรับประทานมากกว่าปกติ อยากอาหารหวานจัด เช่น เค้ก หรือ ช๊อกโกแลต อาหารเค็ม เช่น พิซซ่า หรือ พวกถั่วอบเกลือและมีอาการเวียนศีรษะบ่อย ๆ
วิธีการรับมือ เนื่องจากสาเหตุของอาการหิวบ่อยเกิดจากการที่สารเซโรโทนินลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงก่อนมีรอบ เดือน ทำให้ต้องการคาร์โบไฮเดรตมากกว่าปกติ เพื่อให้ร่างกายใช้ของหวานไปเพิ่มสารนี้ ควรควบคุมโภชนาการให้ถูกต้องและหากิจกรรมอื่นทำบ้าง จะได้ไม่คิดถึงแต่เรื่องกินตลอดเวลา หรือไม่ก็รับประทานเป็นผลไม้แทน

ผู้หญิงบางคนอาจมีอาการปนเปกันมากกว่า 1 ซึ่งไม่ถือว่าผิดปกติ และหากพบว่าตนเองมีอาการอยู่ในกลุ่มใดก็บำบัดให้ถูกต้องจะไม่ได้ต้องทรมาน กันทุก ๆ เดือน แต่อาการเหล่านี้เป็นอาการเพียงชั่วคราว หากคนรอบข้างเข้าใจ ให้กำลังใจ เชื่อว่าสาว ๆ ทุกคนคงผ่านช่วงเวลาดังกล่าวไปได้ไม่ยากเลยค่ะ

วันเสาร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2555

15 ทิปส์หุ่นสวย



15 ทิปส์ หุ่นสวย
วันนี้เราแนะนำ 15 ทิปส์ หุ่นสวยสุขภาพดี มาฝากคุณผู้หญิงหลาย ๆ ที่อยาก หุ่นสวยสุขภาพดี หากว่าคุณไม่อยากพลาด15 ทิปส์นี้แล้วล่ะก็ลองอ่านสิ่งต่อไปนี้ที่เราจะแนะ เพื่องให้คุณได้อวดหุ่นสวย ๆ ได้อย่างไม่ต้องอายใครอีกต่อไป

15 ทิปส์ หุ่นสวย ได้แก่
1.นอน นอน และนอน
หลายคนอาจประหลาดใจแค่นอนก็ทำให้ผอมได้จริงเหรอ จริงสิคะ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะร่างกายไม่สามารถรู้ได้ว่าที่เราไม่นอนนั้นเป็นเพราะกำลังดูหนังหรือเล่นอินเทอร์เน็ตจนเพลิน แต่มันจะคิดว่าเป็นเพราะเรากำลังมีความเครียดหรือต้องตื่นเพราะพบกับสิ่งที่เป็นอันตราย ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่ร่างกายคิดว่ากำลังมีภัยมันจะหลั่งสารคอติโซนออกมาอย่างอัตโนมัติเพื่อเก็บไขมันสะสมไว้เป็นเสบียง ฉะนั้นจึงควรนอนให้ได้อย่างน้อย 8 ชั่วโมง ซึ่งนอกจากไม่สะสมไขมันแล้วร่างกายจะได้หลั่งโกรทฮอร์โมนออกมาซึ่งจะช่วยเบิร์นไขมันและซ่อมแซมร่างกายอีกด้วย

2.ทำอะไรเพลิน ๆ โดยไม่รู้ตัว

เคยมีการวิจัยพบว่าการที่เราเขย่าขากระดิกเท้าหมุนปากกาเล่นหรือทำอะไรก็ตามที่เป็นการทำออกมาจากจิตใต้สำนึกโดยที่ไม่รู้จะช่วยเบิร์นไขมันได้ ซึ่งแม้จะเป็นการเผาผลาญที่ไม่เยอะแต่เมื่อทำบ่อย ๆ เข้ารวมแล้วปีหนึ่งก็จะช่วยเบิร์นได้เป็นพันแคลอรีเลย

3.ลดการกินลงครึ่งหนึ่ง
เช่น ตอนเช้าเคยกินไข่ 1 ฟองก็เหลือครึ่งฟอง เคยกินเบคอน 2 ชิ้นก็เหลือ 1 ชิ้น มื้อเที่ยงก็กินข้าวแค่ครึ่งจาน คือให้กินมื้อเล็ก ๆ แต่กิน 5 มื้อ เพื่อให้ร่างกายเผาผลาญอยู่ตลอดเวลา ที่สำคัญในเวลา 2-3 ชั่วโมง ร่างกายจะใช้พลังงานแค่ประมาณ 300 แคลอรี ซึ่งถ้าเรากินเกินมันก็จะสะสมเป็นไขมันไว้
4.ดื่มน้ำเยอะ ๆ
ที่ช่วยได้เพราะทุกอย่างในร่างกายเราจะต้องมีน้ำเพียงพอถึงจะทำงานได้ดี แล้วถ้าเรากินน้ำน้อยร่างกายก็จะเก็บน้ำไว้ใช้ทำให้ดูบวมน้ำ ดูอ้วน ที่สำคัญการเผาผลาญไขมันไม่ใช่ว่าอยู่ดี ๆ จะมีเครื่องเผามาเผานะคะ มันต้องเอาไขมันออกจากเซลล์ไปเผาผลาญก็คือน้ำจะเป็นตัวที่นำพาไป ซึ่งนอกจากน้ำเปล่าแล้วเรายังสามารถรับจากอื่น ๆ ได้ด้วยทั้งผัก ผลไม้ นม

5.อย่าคิดว่าตัวเองกำลังลดน้ำหนัก
เคล็ดลับการจะทำอะไรให้ประสบความสำเร็จก็คือต้องทำในสิ่งที่ตัวเองทำได้อย่างมีความสุข ฉะนั้นอย่าคิดว่าตัวเองกำลังลดน้ำหนัก อย่าคิดว่าตัวเองกำลังพยายามทำสิ่งนี้อยู่ ฉันไม่กิน ฉันต้องลดความอ้วน ถ้ารู้สึกอยากกินก็กินเถอะค่ะแต่กินแค่นิดหน่อยหรืออาทิตย์หนึ่งอาจจะยอมตามใจตัวเองสักวันหนึ่ง เพื่อให้ตัวเองมีความสุขและไม่ตะบะแตกซะก่อนที่จะลดน้ำหนักได้สำเร็จ

6.หัวเราะ
การหัวเราะนำมาซึ่งความสุขทำให้ร่างกายหลั่งสารคอติโซนออกมาน้อยจึงไม่มีการเก็บสะสมไขมัน และการไม่เครียดจะทำให้เรากินน้อยลง เคยมีงานวิจัยออกมาบอกค่ะว่าถ้าเราซึมเศร้าหรือเครียดร่างกายเราจะอยากกินโน่นกินนี่เพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นนั่นเอง
7.นึกถึงภาพอาหารที่ดีต่อสุขภาพแบบอร่อย ๆ
แม้จะเป็นอาหารที่เราไม่ชอบเลยก็ตามซึ่งถ้าเราคิดถึงภาพแบบดี ๆ มองแบบอร่อย ๆ เราก็จะชอบและกินได้ เช่น เราไม่ชอบกินผักแต่ถ้าเรามองผักว่าสวย สด น่ากิน น่าอร่อย เราก็จะกินได้ ยังไงในมื้อหน้าลองเปลี่ยนจากเสียง "ยี้" มาเป็นเสียง "อื้มน่าอร่อยจัง" ดูนะคะ
8.ดูโทรทัศน์ให้น้อยลง
เพราะการดูโทรทัศน์ก็คือการนั่งอยู่เฉย ๆ ฉะนั้นถ้าอยากผอมก็ต้องดูโทรทัศน์ให้น้อยลงแล้วพยายามยืนให้เยอะ ๆ อย่างถ้าคุยโทรศัพท์ก็ให้ยืนคุย จะทำให้กล้ามเนื้อได้อออกแรงจึงแข็งแรงและสามารถเผาผลาญได้ดีที่สำคัญห้ามกินอาหารตอนดูโทรทัศน์เด็ดขาด เพราะเราจะไม่รู้ตัวเลยว่ากินไปเท่าไหร่แล้ว ดูไปกินไปเพลิน ๆ มารู้ตัวอีกทีก็กินไปซะเยอะ ยิ่งพอกินแล้วก็ไม่ได้ทำอะไร นั่ง ๆ นอนดูโทรทัศน์ไขมันก็เลยสะสมอย่างเดียวเลย
9.กินไขมันปลาเยอะ ๆ ทั้งโอเมก้า 3 6 และ 9
เพราะการกินไขมันจะทำให้ร่างกายคิดว่าเรามีไขมันเพียงพอเลยจะเก็บไขมันน้อย แล้วก็เก็บเฉพาะไขมันดีส่วนไขมันไม่ดีร่างกายก็จะเอาไปเบิร์น แต่ที่เห็นบ่อย ๆ คือคนที่ลดความอ้วนจะไม่ยอมกินไขมันเลย ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง เพราะร่างกายเรายังไงก็ยังต้องใช้ไขมันอยู่แต่ให้เลือกกินเป็นไขมันที่ดีที่เป็นโอเมก้า 3 6 9 ซึ่งจะมีอยู่ในปลาและถั่วเยอะ
10.กินใช้ช้าลง

เพราะร่างกายเราจะสามารถรู้ได้ว่าอิ่มแล้วต้องใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที ทำให้บางทีเราอิ่มแล้วแต่ยังไม่รู้ก็เลยกินไปเรื่อย ๆ ทำให้กินเกินที่ร่างกายต้องการ เคล็ดลับคือ ก่อนกินอาหารให้กินผักก่อนสักจานหรือกินแอปเปิ้ลสักลูกแล้วก็เคี้ยวอาหรช้า ๆ ซึ่งจะดีต่อลำไส้เราอีกด้วย

11.เคี้ยวหมากฝรั่ง
การที่ปากเราเคี้ยวอยู่ตลอดเวลาจะทำให้ร่างกายคิดว่าเรากำลังกินอาหารอยู่สมองจึงจะหลั่งสารออกมาทำให้รู้สึกอิ่ม นอกจากนี้ยังทำให้มีน้ำย่อยออกมาช่วยให้ระบบการย่อยทำงานได้ดีขึ้น เมื่อย่อยดีร่างกายก็สามารถดึงไปใช้ได้เยอะไม่มีเหลือสะสมอยู่ตามพุงหรือต้นขาไงคะ

12.กินพริก เครื่องเทศ สมุนไพรเยอะ ๆ
เพราะจะทำให้ร่างกายร้อนส่งผลให้มีการเผาผลาญได้ดีขึ้น และยังเป็นการช่วยกระตุ้นการทำงานของต่อมไทรอยด์นอกจากนี้อาหารพวกนี้จะมีวิตามินเยอะกินแล้วทั้งหุ่นสวยและสุขภาพดี
13.หายใจลึก ๆ
เคยมีการศึกษาวิจัยพบว่า เมื่อเราหายใจลึก ๆ มีการสูดออกซิเจนเข้าไปมากขึ้น จะทำให้ร่างกายเราเผาผลาญดีขึ้น เพราะออกซิเจนเป็นปัจจัยสำคัญในการเผาผลาญนอกจากนี้ยังทำให้อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายทำงานได้ดีขึ้นด้วย

14.ตีลังกา
การตีลังกาเอาหัวลงพื้นเท้าชี้ฟ้าจะทำให้มีการเกร็งของกล้ามเนื้อทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงและทำงานได้ดีขึ้น ซึ่งร่างกายจะมีการเผาผลาญที่ดีได้ก็ต้องอาศัยกล้ามเนื้อที่แข็งแรงนอกจากนี้ยังทำให้ต่อมไทรอยด์ทำงานได้ดี

15.มีความสุขเข้าไว้

ทำอะไรก็ได้ให้ตัวเองมีความสุขไม่เครียดจะทำให้ร่างกายไม่เก็บไขมัน กินก็น้อยลง ลองสังเกตดูสิว่าเวลาเรามีความสุขเราจะกินน้อยลงในทางกลับกัน หากเครียด ๆ หรืออยู่บ้านคนเดียวเบื่อ ๆ เซ็ง ๆ ไม่รู้จะทำอะไรเราก็จะกิน ๆ ๆ ๆ และอ้วน ๆ ๆ ๆ

นำทั้ง 15 วิธีนี้ไปใช้ควบคู่กับการดูแลเรื่องการกินเป็นพิเศษและออกกำลังกายสม่ำเสมอนะคะ คุณจะได้ลดน้ำหนักได้ง่ายขึ้นประสบความสำเร็จขึ้น และผลที่ได้ก็จะอยู่กับคุณตลอดไปค่ะ

หิวช่วงดึก..กินไรดีน๊า!!!


หิวช่วงดึก..กินไรดีน๊า???

"นอนเร็วทำให้สุขภาพดี นอนดึกทำให้สุขภาพเสีย" นี่เป็นข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพที่ใครๆ ก็รู้ดี... แต่จะมีสักกี่คนที่สามารถเข้านอนเร็วได้ทุกๆ วัน ยิ่งโดยเฉพาะน้องๆ ที่อยู่ในช่วงวัยเรียนด้วยแล้ว มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้เราไม่สามารถเข้านอนได้ตรงเวลาทุกวัน เช่น เราต้องทำการบ้าน ต้องทบทวนหนังสือ หรือบางครั้งเราอาจต้องทำรายงานแชตบ้าง ไรบ้าง บลาๆๆบางทีกว่าจะจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว น้ำย่อยก็ดันมาทำงานตอนดึกๆ ดื่นๆ ...แล้วอาการหิวตอนกลางคืนก็มาเยือน T~T 
การนอนดึกเป็นสิ่งที่ไม่ดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะยิ่งนอนดึกเท่าไหร่เราก็มีโอกาสที่จะหิวได้มากขึ้นว่าในช่วงเวลาปกติ และถ้าหากใครตามใจมากจนมากเกินไปสุขภาพของเราก็จะยิ่งเสียมากขึ้น เพราะนอกจากเราจะเสี่ยงต่อสภาวะโรคอ้วนแล้ว อาจจะทำให้เราป่วยเป็นโรคกรดไหลย้อนได้อีกต่างหาก... แต่ถ้าหากมีเหตุอันจำเป็นให้เราต้องนอนดึกจริงๆ และจำเป็นต้องกินอาหารมื้อดึกจริงๆ ล่ะก็ วันนี้เราก็มีเทคนิคดีๆ ในการเลือกกินอาหารสำหรับคนที่ชอบกินมื้อดึกมาฝากกันค่ะ 
สำหรับคนที่นอนดึกหรืออดนอน แล้วเกิดอาการหิวขึ้นมา อาหารที่เหมาะกับคนประเภทนี้ก็คือ อาหารประเภทขนมปัง อาหารประเภทปลาและผัก เพราะว่าอาหารเหล่านี้ถือว่ามีประโยชน์เทียบเท่ากับอาหารมือหนักๆ ในตอนกลางวันเลยทีเดียว ในทางตรงกันข้าม อาหารที่เราไม่ควรกินในเวลาดึก (จะว่าห้ามกินไปเลยก็ได้นะคะ!! ก็คือ อาหารประเภทเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อไก่ เพราะอาหารประเภทนี้ย่อยยากทำให้ลำไส้ของเราต้องทำงานหนัก และในการกินอาหารในช่วงเวลานี้เราควรเคี้ยวอาหารให้ละเอียดเพื่อแบ่งเบาภาระการทำงานของลำไส้ เนื่องจากในช่วงดึกนั้นเป็นช่วงที่อวัยวะต่างๆ ในร่างกายควรจะได้พักผ่อนมากกว่าจะต้องมาทำงาน 
แต่ถ้ากินอาหารตามที่เราแนะนำไปแล้วแต่ยังหิวอยู่ล่ะก็ ... ให้กิน "ผลไม้" (เช่น กล้วย) และ "โยเกิร์ต" แทนอาหารประเภทอื่นๆ เพราะว่าสารอาหารในผลไม้และโยเกิร์ตจะช่วยให้ร่างกายกระฉับกระเฉงขึ้น ช่วยให้รู้สึกอ่อนเพลียน้อยลงในเช้าวันรุ่งขึ้น (หลังจากที่เราอดนอนไปแล้วเมื่อคืน -..- zzzZ) หรือถ้าไม่อยากกินผลไม้ โยเกิร์ต เราอาจจะเลือกดื่มน้ำขิงอุ่นๆ ผสมน้ำผึ้งหรือน้ำอุ่นก็ได้ หรือนมสดอุ่นๆ ก็ได้ค่ะ สำหรับอาหารมือดึกเราควรจะหลีกเลี่ยงน้ำเย็น หรือน้ำอัดลม เพราะว่าจะทำให้ระบบอวัยวะในร่างกายทำงานหนักเกินไป เนื่องจากร่างกายของเราต้องการความร้อนในการย่อยอาหาร แต่ถ้าเราดื่มน้ำเย็นจะทำให้ร่างกายเราต้องปรับอุณหภูมิภายในร่างกายให้อุ่นก่อนจึงจะสามารถนำไปใช้ในการช่วยระบบย่อยอาหารได้

วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2555

รักษากระแดด..ง่ายกว่าที่คิด!!!


รักษากระแดด..ง่ายกว่าที่คิด!!

สาวๆ ทั้งหลายต้องตั้งใจฟังให้ดีเลยนะค่ะเพราะวันนี้เรามีวิธีรักษากระแดดมาฝากกันค่ะ เชื่อเลยว่าคงไม่มีสาวๆ คนไหนที่อยากจะเป็นกระแดดหรอกจริงมั้ยค่ะ กระแดดนั้นจะมีลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาลและมักจะเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากและยังขึ้นพร้อมๆ กันอีกโดยเฉพาะตรงบริเวณที่โดนแสงแดดมากๆ และสำหรับสาวๆ คนไหนที่มีผิวขาวด้วยแล้วล่ะก็กระแดดนี้สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้อีกด้วยนะค่ะ แต่ว่าวันนี้สาวๆ ทั้งหลายควรจะเลือกกังวลได้ซะทีเพราะว่าวันนี้เรามี วิธีรักษากระแดด มาแนะนำให้ได้รู้กันค่ะ สำหรับวิธีรักษากระแดด เป็นวิธีที่ง่ายๆ และบางวิธียังต้องใช่ความใส่ใจในการดูแลผิวของคุณสาวๆ ทั้งหลายเป็นตัวช่วยถ้าพร้อมแล้วเราก็เข้าไปดู วิธีรักษากระแดด กันเลยดีกว่านะค่ะว่าจะเป็นอย่างไร รับรองได้เลยว่าวิธีรักษากระแดดนี้จะสามารถช่วยลดปัญหาที่น่ากังวลใจของคุณผู้หญิงได้อย่างแน่นอนค่ะ

วิธีรักษากระแดด
1. การหลีกเลี่ยงแสงแดด

2. ใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงอย่างระดับ 30 ขึ้นไป

3. การใช้ครีมลดเลือนจุดด่างดำนั้นทำได้แต่ต้องระวัง เพราะครีมบางชนิดมีส่วนผสมของไฮโดรควิโนน (สารฟอกขาว) ซึ่งเป็นสารอันตราย
ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญหรือลองใช้โยเกิร์ตรสธรรมชาติ ช้อนชาทาทิ้งไว้ 30 นาที แล้วล้างออก วันละ ครั้ง เพื่อลดเลือนจุดด่างดำแบบเป็นธรรมชาติค่ะ

เคล็ดลับการเลือกสีรองพื้นแบบเป๊ะสุดๆ


เคล็ดลับการเลือกสีรองพื้นแบบเป๊ะสุดๆ

สิ่งที่สำคัญก่อนการแต่งหน้านั่นก็คือการเลือกรองพื้นให้เนียนให้สวยเป๊ะนั้นเองค่ะ และการเลือกรองพื้นให้เข้ากันสีผิวนั้นจะช่วยทำให้การแต่งหน้าดูสวยมากยิ่งขึ้น วันนี้เราก็เลยมีเคล็ดลับ วิธีเลือกรองพื้นให้เข้ากับสีผิว มาฝากสาวๆ กันค่ะ รองพื้นต่างก็มีเยอะแยะมากมายหลายๆ คนอาจจะไม่ค่อยเน้นการเลือกให้เข้ากับสีผิวเพราะเนื่องจากมีเยอะจัด อาจจะเลือกประมาณว่าแค่ไกล้เคียงกับสีผิวเท่านั้นการเลือกแบบนี้อาจจะทำให้เกิดความผิดพลาดได้เมื่อเราแต่งหน้า แต่เราขอบอกเลยนะค่ะว่า วิธีเลือกรองพื้นให้เข้ากับสีผิวที่เรานำมาฝากกันในวันนี้เป็นวิธีเลือกรองพื้นให้เข้ากับสีผิวได้เป๊ะมากรับรองว่าวิธีเลือกรองพื้นให้เข้ากับสีผิวนี้จะช่วยทำให้สาวๆ สนุกกับการแต่งหน้ามากขึ้นและเชื่อว่าสาวๆ จะแต่งหน้าออกมาสวยเหมือนไปแต่งกับช่างแต่หน้ามืออาชีพเลยค่ะ ถ้าพร้อมแล้วตามเราไปเลือกรองพื้นให้เข้ากับสีผิว ที่นำมาฝากกันดีกว่านะค่ะ

วิธีเลือกรองพื้นให้เข้ากับสีผิว
1. รู้จักสีผิวตัวเอง
ถ้าคุณใส่เครื่องประดับที่เป็นเงินแล้วดูดี คุณก็อาจมีสีผิวที่อยู่ในโทนเย็น แต่ถ้าคุณใส่เครื่องประดับที่เป็นทองแล้วดูดีกว่า สีผิวของคุณก็อาจอยู่ในโทนอบอุ่น การรู้โทนสีผิวของตัวเองจะช่วยให้เลือกเฉดสีที่เหมาะสมได้ง่ายขึ้น
2. เมินสีชมพู
อย่าเลือกครีมรองพื้นที่มีสีอมชมพูเด็ดขาด ยกเว้นว่าคุณจะมีผิวขาวมากๆ ผิวสาวเอเชียส่วนใหญ่มักจะอยู่ในโทนอบอุ่น การเลือกเฉดสีอมเหลืองจะช่วยให้ดูเป็นธรรมชาติได้มากกว่า
3. ทดสอบบนแก้ม
ด้วยการทาครีมรองพื้นสามสีเป็นแถบเล็กๆ เรียงกันไปตามกระดูกโหนกแก้ม จะช่วยให้คุณมองเห็นเฉดสีได้ชัดกว่าการลองทาบนแขน ข้อมือ หรือหลังมือ
4. ใช้แสงธรรมชาติ
หลังจากลองทาเสร็จแล้วก็หันหน้าเข้าหาหน้าต่างพร้อมกับส่องกระจกดู ถ้าแถบสีรองพื้นสีไหนเลือนหายไปกับสีผิวก็สีนั้นนั่นแหละที่เป็นสีที่เหมาะสำหรับคุณ

วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2555

เครื่องดื่มสำหรับกรุ๊ปเลือดต่างๆ


เครื่องดื่มสำหรับกรุ๊ปเลือดต่างๆ


ในยุคปัจจุบันคนรุ่นใหม่หันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น ไม่เพียงอาหารที่จะต้องเลือกรับประทานเท่านั้น การเลือกเครื่องดื่ม ก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน เพราะร่างกายสามารถดูดซึมได้ง่ายกว่า และเป็นสิ่งจำเป็นที่เราควรคัดสรรเครื่องดื่มที่มีคุณค่าและประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งปัจจุบันมีข้อพิสูจน์ทางการแพทย์ว่า ในแต่ละกรุ๊ปเลือดก็มีความต้องการสารอาหารที่ต่างกัน จะดื่มเครื่องดื่มให้ได้ประโยชน์กว่านั้น ควรดื่มตามกรุ๊ปเลือดค่ะ



กรุ๊ปA เน้นสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ซึ่งเหมาะกับผักผลไม้ เช่น ถั่วแดง กล้วย

กรุ๊ปO จะเน้นสารอาหารประเภทโปรตีน ซึ่งเหมาะกับผักผลไม้ เช่น แคร์รอต สาหร่ายสด

กรุ๊ปB สามารถกินได้หลากหลาย ไม่ว่า จะเป็นโปรตีนหรือคาร์โบไฮเดรต ซึ่งเหมาะกับผักผลไม้ เช่น ถั่วเหลือง กล้วยหอม

กรุ๊ปAB มีความต้องการใกล้เคียงกับกรุ๊ปบี ซึ่งเหมาะกับผักผลไม้ เช่น เสาวรส กีวี และแอปเปิ้ล
นอกจากดื่มตามกรุ๊ปเลือดแล้ว การดื่มเครื่องดื่มตามช่วงเวลาก็มีส่วนช่วยในเรื่องของสุขภาพเช่นกัน
ช่วงเวลา 06.00-10.00 น. ควรดื่มน้ำผลไม้รสเปรี้ยว เช่น น้ำส้ม น้ำมะนาว น้ำฝรั่ง
ช่วงเวลา 10.01-14.00 น. ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีรสขม เช่น น้ำใบบัวบก น้ำลูกเดือย
ช่วงเวลา 12.01-18.00 น. ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีรสเผ็ด เช่น น้ำข่า ตะไคร้
เราลองหันมาดื่มเครื่องดื่มตามกรุ๊ปเลือดกันดูนะคะ เพื่อ
สุขภาพร่างการที่ดีของตัวเรา

สีบลาสุดฮอตแต่...เสี่ยงมะเร็ง!!!!!


ชุดชั้นในสีดำสุดฮอตแต่..เสี่ยงมะเร็ง!!!!!
ชุดชั้นในสีดำมีโอกาสเสี่ยงมะเร็งคุณผู้หญิงรู้กันบ้างหรือไม่ค่ะ วันนี้เราเลยขอนำเรื่องดีๆ ที่จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณผู้หญิงทั้งหลายที่โดยเฉพาะนิยมเลือกซื้อชุดชั้นในสีดำหรือชื่นชอบชุดชั้นในสีดำกันเป็นพิเศษ แล้วยิ่งเป็นชุดชั้นในสีดำที่ไม่น่าเชื่อถือด้วยคุณผู้หญิงยิ่งต้องระวังรู้ไหมค่ะ แม้ว่าชุดชั้นในสีดำจะใส่แล้วดูเซ็กซี่สวยมากเพียงใดแต่ก็มีโอกาสเสี่ยงต่อโรคมะเร็งได้ถ้าคุณผู้หญิงประมาณกันค่ะ ฉะนั้นแล้ววันนี้เรามีเรื่องราวของชุดชั้นในสีดำเสี่ยงโรคมะเร็งมาฝากกันในวันนี้ คุณผู้หญิงผู้รักสุขภาพทั้งหลายห้ามละเลยเด็ดขาดเลยนะค่ะ แล้วถ้าไม่อยากเสี่ยงกับโรคมะเร็งที่มาจากชุดชั้นในสีดำล่ะก็ ตามเรามาทำความรู้จักกับเรื่อง "ชุดชั้นในสีดำ...เสี่ยงมะเร็ง!" กันเลยดีกว่าค่ะ เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณผู้หญิงกันทุกคนเลยนะคะ

คุณรู้หรือไม่ว่า...ชุดชั้นในสีดำ...เสี่ยงมะเร็ง!
จากการศึกษาของนิตยสาร Öko-Test ในประเทศเยอรมนีที่ทำการทดสอบชุดชั้นในสีดำ 25 ตัว พบสารก่อมะเร็ง เนื่องจากชุดชั้นในสีดำบางยี่ห้อมีสารเคมีสีดำในปริมาณสูงซึ่งเป็นที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นตัวก่อมะเร็ง เพราะเมื่อผู้สวมใส่มีเหงื่อออกสารเคมีก็จะตกสีออกมาทำให้ผิวหนังได้รับสารเคมีอันตรายและมันจะกระตุ้นให้เกิดมะเร็งได้

นอกจากสารเคมีสีดำก็ยังพบสารอันตรายที่ชื่อว่า Diethyhexylpthalate (DEHP) ซึ่งเป็นตัวยึดทรงชุดชั้นใน สารตัวนี้ติดอันดับในรายการสารอันตรายที่ทางสหภาพยุโรประบุไว้ เพราะเป็นสารก่อมะเร็งและเป็นสารต้องห้ามสำหรับของเด็กเล่นและผลิตภัณฑ์ทารก
แต่สาวๆ ที่มีชุดชั้นในสีดำก็อย่าเพิ่งตกใจจนต้องโยนชุดชั้นในสีดำทิ้งนะคะ ผู้เชี่ยวชาญได้แนะนำว่า หากซื้อชุดชั้นในสีดำมาก็จะต้องซักล้างให้สะอาดเกลี้ยงเกลาก่อนใส่ทุกครั้งค่ะ

วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555

เห็ดหอมอาหารสุดวิเศษค๊า


ประโยชน์ของเห็ดหอม

เห็ดหอม จัดเป็นเห็ดราคาแพงโดยเฉพาะเห็ดหอมแห้งจะมีหลายเกรดเลยทีเดียวค่ะ แต่วันนี้เราจะมาพูดถึง สรรพคุณของเห็ดหอม และ ประโยชน์ของเห็ดหอม ค่ะ เห็นหอมนั้นจะมีสองแบบคือ เห็ดหอมแห้ง กับ เห็ดหอมสด ค่ะ เห็ดหอมแห้งก็คือเห็ดหอมที่นำมาตากแห้งสามารถเก็บไว้ได้นานก่อนนำมารับประทานหรือปรุงอาหารต้องแช่น้ำก่อนจะเหมือนเห็นหอมสดเลยค่ะ ส่วนเห็ดหอมสดก็คือเห็ดหอมที่ไม่ผ่านการตากแห้งแต่สามารถนำมาปรุงอาหารโดยไม่ต้องแช่น้ำค่ะ แต่เอ๊ะ..อย่าเข้าใจผิดว่าไม่ล้างน้ำนะคะ และเห็นหอมยังมีคุณค่าทางอาหารที่มากและยังมี สรรพคุณของเห็ดหอม และ ประโยชน์ของเห็ดหอม ที่จัดว่าเป็นสมุนไพรอีกด้วยนะค่ะ นั้นเรามาดู สรรพคุณของเห็ดหอม และ ประโยชน์ของเห็ดหอม กันเลยดีกว่าค่ะ

สรรพคุณ / ประโยชน์ของเห็ดหอม
สรรพคุณของเห็ดหอม
คนจีนใช้เห็ดหอมเป็นอายุวัฒนะรักษาหวัดทำให้เลือดลมดี แก้โรคหัวใจ ป้องกันการเติบโตของเนื้อร้าย ต้านพิษงู ป้องกันโรคเลือด โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคมะเร็ง โรคร้ายจากเชื้อไวรัส เห็ดหอมมีกรดอะมิโนชื่อ eritadenine ช่วยให้ไตย่อยโคเลสเตอรอลได้ดี มีสารเลนติแนน (Lentinan) ช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันให้มีประสิทธิภาพในการต่อสู้กับเซลล์เนื้องอก

ประโยชน์ของเห็ดหอม
บำรุงสมอง เพิ่มความสดชื่น คึกคัก ลดคอเลสเตอรอล ช่วยในระบบย่อยอาหาร ป้องกันหลอดเลือดแดงแข็งตัว ต้านมะเร็ง รักษาหอบหืด ลดความเครียด ต้านไวรัส บำรุงระบบประสาท ช่วยให้หลับง่าย บำรุงปอด บำรุงหลอดลม ชะลอความชรา ฯลฯ ควรบำรุงสุขภาพด้วยการนำเห็ดหอมมาปรุงอาหารทุก ๆ สัปดาห์เป็นประจำ โดยนำมาปรุงเป็นอาหารจานผัด ๆ ต้ม ๆ แต่ไม่ควรรับประทานในปริมาณมากจนเกินไป

คุณค่าทางอาหารของเห็ดหอม

- เห็ดหอมสด 100 กรัม ให้พลังงาน 387 กิโลแคลอรี ประกอบด้วย
คาร์โบไฮเดรต 67.5 กรัม โปรตีน 17.5 กรัม ไขมัน 8.0 กรัม เส้นใย 8.0 กรัม วิตามินบี1 1.8 มิลลิกรัม วิตามินบี2 4.9 มิลลิกรัม ไนอะซิน 4.9 มิลลิกรัม แคลเซียม 98 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 476 มิลลิกรัม เหล็ก 8.5 มิลลิกรัม

- เห็ดหอมแห้ง 100 กรัม ให้พลังงาน 375 กิโลแคลอรี ประกอบด้วย
คาร์โบไฮเดรต 82.3 กรัม โปรตีน 10.3 กรัม ไขมัน 1.9 กรัม เส้นใย 6.5 กรัม วิตามินบี1 0.4 มิลลิกรัม วิตามินบี2 0.9 มิลลิกรัม ไนอะซิน 11.9 มิลลิกรัม แคลเซียม 12 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 171 มิลลิกรัม เหล็ก 4.0 มิลลิกรัม

วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555

ไมเกรนตัวร้าย


ไมเกรนตัวร้าย!!!!!!

ไมเกรน(Migraine) เป็นโรคปวดศีรษะชนิดหนึ่งที่เกิดจากความผิดปกติระบบประสาทที่หลอดเลือดแดงบริเวณศีรษะซึ่งเป็นโรคเรื้อรังไม่หายขาดซึ่งอาจจะมีอาการเป็นครั้งคราว โดยเริ่มจากบริเวณใกล้ดวงตาหรือบริเวณขมับข้างใดข้างหนึ่ง ซึ่งจะเกิดขึ้นซ้ำๆ มักพบร่วมกับอาการผิดปกติอื่นๆ อาจเป็นนาน จนผู้ป่วยช่วยเหลือตัวเองแทบไม่ได้ วิธีที่ดีที่สุดคือ ค้นหาว่าปัจจัยใดที่กระตุ้นให้เกิดอาการ แล้วหลีกเลี่ยงสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดอาการ
อาการปวดศีรษะไมเกรนมักจะปวดศีรษะครึ่งซีกแต่บางครั้งเป็นสองข้างก็ได้ โดยมักกินเวลาปวด 4-72 ชั่วโมง โดยอาการปวดศีรษะไมเกรนแบ่งตามอาการนำได้เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่

1.Migraine without aura จะไม่มีอาการผิดปกติทางสายตานำมาก่อนการปวดศีรษะ มักจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย
2.Migraine with aura จะมีอาการผิดปกตินำมาก่อนการปวดศีรษะ เช่น เห็นแสงซิกแซก แสงวาบ โดยมักจะอาการเหล่านี้ก่อนปวดศีรษะ ประมาณ 1 ชั่วโมง นอกจากนั้นจะมีอาการเหมือน migraine without aura

เป็นไมเกรนต้องเลี่ยงอะไร???ปัจจัยกระตุ้นให้เกิดไมเกรนมีทั้งปัจจัยภายในและภายนอกร่างกาย ที่ควรระมัดระวังและหลีกเลี่ยงมีดังต่อไปนี้

1. อาหารที่มีสารกระตุ้นอาการเริ่มแรกของไมเกรน เช่น ไนไทรต์ ซึ่งพบในเบคอน ฮอตดอก และเนื้อหมัก ไทรามีน พบในไวน์แดง ตับไก่ อาหารที่ใช้ยีสต์ แทนนิน พบมากในถั่วเปลือกแข็ง น้ำแอปเปิล องุ่น เบอร์รี่ ชา กาแฟ และไวน์แดง ซัลไฟต์ ที่ใช้ในการหมักไวน์และผลไม้แห้ง โมโนโซเดียมกลูตาเมตหรือผงชูรส นอกจากนั้นแล้วยังมีช็อกโกแลต เนยแข็ง อาหารทอด และผลไม้จำพวกส้ม

2. น้ำตาลในเลือดต่ำ เนื่องจากหิวหรือกินอาหารคาร์โบไฮเดรตขัดขาวมากเกินไป

3. นอนหลับหรือพักผ่อนไม่เพียงพอ

4. การเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมน อาจเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายหรือการกินยาคุม

5. อยู่ในภาวะขาดน้ำ

6. อยู่ในที่ที่แสงจ้า หรือได้รับแสงจ้าเกินไป

7. อยู่ในสถานที่หรือได้รับฟังเสียงดัง

8. ความเครียด และความวิตกกังวล รวมถึงอาการช็อก

9. การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศหรือฤดูกาล อากาศแห้งหรือลมร้อนแห้ง
หากหลีกเลี่ยงปัจจัยดังกล่าวแล้ว แต่ยังมีอาการ สามารถเลือกวิธีบำบัดด้วยตัวเองได้หลายวิธี

อาหารต้านไมเกรน

เนื่องจากระบบย่อยและดูดซึมแมกนีเซียมของผู้ป่วยไมเกรนมักมีประสิทธิภาพไม่ดี ช่วงก่อนมีอาการหรือกำลังมีอาการจึงพบว่ามักมีปริมาณแมกนีเซียมลดต่ำลง อาหารที่มีแมกนีเซียมจึงช่วยให้ความถี่และความรุนแรงของอาการน้อยลงได้ ซึ่งอาหารที่อุดมไปด้วยแมกนีเซียม ได้แก่ ผักใบเขียว ถั่วเมล็ดแห้ง (ยกเว้นถั่วเปลือกแข็ง ซึ่งแม้จะมีแมกนีเซียมสูง แต่กลับมีสารแทนนินที่กระตุ้นให้เกิดไมเกรน) และฟักทอง
นอกจากแมกนีเซียมแล้ว ผู้มีอาการไมเกรนซึ่งมีพลังงานสำรองในสมองต่ำจึงต้องการ ไรโบฟลาวิน เพื่อช่วยเพิ่มพลังสำรองในเซลล์สมอง อาหารที่มีไรโบฟลาวินสูง ได้แก่ เห็ดหอมสดและ ผักหวาน

ชาสมุนไพรแก้ปวด
1. น้ำขิงจากเหง้าขิงแก่ และน้ำต้มจากต้นกะเพราแดงอาจช่วยลดอาการคลื่นไส้ที่มักเกิดร่วมกับอาการปวดศีรษะได้

2. ใช้รากบวบกลม หรือบวบเหลี่ยมสด หนัก 1 ขีด ต้มน้ำใส่เกลือเล็กน้อย ดื่มเป็นน้ำชา

3. ใช้ผล ต้น ใบ ดอก และรากของมะตูมนิ่มมาต้มรับประทานช่วยแก้ปวดศีรษะ ตาลาย

ประคบร้อนและเย็นบรรเทาอาการ
วิธีที่ 1 ประคบเย็นที่หน้าผากหรือคอ ถ้าอาการไม่บรรเทา ให้ประคบร้อนและเย็นพร้อมกัน โดยประคบเย็นที่หน้าผากและประคบร้อนที่ท้ายทอย ประคบสลับที่กันทุก 2 นาที ทำได้ถึง 6 รอบ

วิธีที่ 2 ใช้ผ้าอุ่นจัดวางที่ท้ายทอย แล้วนวดคอ ไหล่ และสะบัก แล้วใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นคลึงเบาๆที่ขมับ จากนั้นใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดหน้า วิธีนี้ช่วยลดอาการปวดไมเกรนเนื่องจากความเครียด
นอกจากการประคบแล้วยังมีการนวดกดจุดที่ช่วยบรรเทาอาการได้เช่นกัน

บำบัดด้วยน้ำมันหอมระเหยสูตรพิเศษ
น้ำมันหอมระเหยมีสรรพคุณช่วยให้การสื่อสารกันระหว่างระบบประสาทต่างๆ ทำงานได้ดียิ่งขึ้น ทั้งยังสามารถปรับสมดุลของอารมณ์และจิตใจให้อยู่ในภาวะดียิ่งขึ้นได้ วิธีการนำน้ำมันหอมระเหยมาใช้ในการเยียวยาอาการไมเกรนมีดังนี้ค่ะ

1. นวดน้ำมันหอมระเหย ลองหาน้ำมันหอมระเหย (Essential Oil) อย่าง เปปเปอร์มินต์ (peppermint) ที่มีสรรพคุณช่วยทำให้กระปรี้กระเปร่า และลาเวนเดอร์ (lavender) ที่ช่วยคลายกังวล ลดความเครียด และอาการซึมเศร้า ติดบ้านไว้บ้าง เมื่อรู้ตัวว่าจะเป็นไมเกรน หรือมีอาการปวด ให้ผสมน้ำมันหอมทั้งสองชนิดนี้อย่างละ 1 หยด ผสมกับน้ำมันอัลมอนด์หอม (sweet almond) 2 ช้อนชา นวดบริเวณขมับและต้นคอเบาๆ

2. ประคบด้วยน้ำมันหอม ช่วงที่รู้สึกว่ามีอาการเครียดจัดต่อเนื่อง ให้ใช้น้ำมันหอมระเหยลาเวนเดอร์หรือมาร์จอแรม (marjoram) ประมาณ 2-3 หยด ผสมน้ำ จุ่มผ้าบิดหมาดๆ นำมาประคบบริเวณขมับและหน้าผากทุกวัน
นอกจากการประคบด้วยน้ำมันหอมระเหยแล้วการประคบโดยใช้อุณหภูมิของน้ำที่แตกต่างกันก็ช่วยให้อาการปวดศีรษะทุเลาเบาบางลงได้ (น้ำมันหอมระเหยหาซื้อได้จากห้างสรรพสินค้าทั่วไปและร้านขายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ)

คลายปวดกับนวดกดจุด
การกดจุดเพื่อบรรเทาอาการไมเกรนมีอยู่ 3 จุดด้วยกัน คือ
คอด้านบน ให้กดย้อนขึ้นไปทางใต้กะโหลกศีรษะข้างๆ กระดูกคอ
มือ ให้กดตรงเนินเนื้อที่เชื่อมระหว่างหัวแม่มือและนิ้วชี้ในแนวตรงสู่กระดูกนิ้วหัวแม่มือ
เท้า กดที่เนินเนื้อที่เชื่อมต่อหัวแม่เท้ากับนิ้วชี้ กดไปทางฝ่าเท้า
ท้ายสุดขอแถมด้วยชาสมุนไพรคลายอาการปวดให้ครบเครื่องเรื่องการเยียวยาไมเกรนกันไปเลยค่ะ