ใบหน้าสวย…ใส ด้วย AHA
|
|
|
วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2555
หน้าใสง่ายๆด้วย AHA
ป้ายกำกับ:
การดูแลผิว,
เกร็ดความรู้,
ความงาม,
ความสวย,
ผิวขาว,
ผิวหน้า,
ผู้หญิง
วันพุธที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2555
คอลลาเจนกับQ10
คอลลาเจนกับQ10 ความสวยที่สาวๆต้องรีบอ่าน
คอลลาเจน เป็นโมเลกุลของโปรตีน
มีคุณสมบัติกระตุ้นการเจริญเติบโตของผิว รักษาน้ำในผิวและช่วยป้องกันเชื้อโรค
จึงถูกนำมาใช้รักษาคนไข้ที่มีแผลไฟไหม้ แต่การกินคอลลาเจนไม่ช่วยให้ผิวสวยได้โดยตรงเพราะสารคอลลาเจนที่สังเคราะห์จากสัตว์และพืชจะถูกทำลายไปส่วนหนึ่งเมื่อถูกความร้อน
และคอลลาเจนส่วนที่เหลือจะถูกกรดในกระเพาะอาหารย่อยให้เป็นอะมิโนแอสิดที่ใช้ในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
และหากมีปริมาณมากเกินความต้องการจะถูกแปลงเป็นไกลโคเจนและสะสมอยู่ในร่างกาย การกินคอลลาเจนจึงไม่แตกต่างกับการกินอาหารที่มีโปรตีนเช่น เนื้อปลา
หมู หรือพืชตระกูลถั่ว แต่จะต้องกินร่วมกับวิตามินซีซึ่งเป็นตัวช่วยร่างกายสังเคราะห์คอลลาเจนด้วย
โคเอนไซม์ Q 10 สารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยการแบ่งเซลล์ของผิวหนัง และชะลอการสูญเสียไฮยาลูโรเนด นอกจากนี้ยังทำหน้าที่สร้างพลังงาน จึงพบโคเอนไซม์ Q10 มากในผิวและอวัยวะที่ต้องการพลังงาน เช่น หัวใจ ตับ ปัจจุบันกำลังทดลองใช้โคเอนไซม์ Q 10 รักษาโรคต่างๆ ได้แก่ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคมะเร็ง ไมเกรน โรคเกี่ยวกับความเสื่อม เช่น สมองเสื่อม อัลไซเมอร์ พาร์คินสัน โรคหัวใจ หัวใจขาดเลือด เอดส์ ฯลฯ
มีการทดลองมากมายพบว่า การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของโคเอนไซม์ Q 10 อย่างการทาจะป้องกันยูวีเอได้ดี ผลคือช่วยลดการทำลายคอลลาเจนและไฮยาลูโรเนดในผิว ทั้งยังช่วยปรับสภาพผิวให้สวยขึ้นภายใน 6 เดือน ปกติร่างกายจะสังเคราะห์โคเอนไซม์ Q 10 จากอาหารประเภทโปรตีน คือ ปลาและเครื่องในสัตว์ โดยเฉพาะตับและหัวใจ
การกินโคเอนไซม์ Q 10 เป็นอาหารเสริมควรบริโภคในปริมาณ 30-50 มิลลิกรัมต่อวัน เพราะหากกินมากเกินไปจะเกิดอาการ คลื่นไส้อาเจียน ผื่นคัน ปวดหัว ท้องเสีย เจ็บหน้าอก เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ มึนงง หงุดหงิด กระสับกระส่าย ตาแพ้แสง อ่อนเพลีย ครั่นเนื้อครั่นตัว ผู้ที่ต้องระวังคือผู้ป่วยโรคเบาหวานน้ำตาลต่ำเพราะจะทำให้น้ำตาลลด และคนที่เป็นโรคเลือดเพราะโคเอนไซม์ Q 10 จะไปลดประมาณเกล็ดเลือดทำให้เลือดออกง่าย รวมถึงคนที่เป็นความดันต่ำ คนท้อง และแม่ที่ให้นมลูก
คอลลาเจน โคเอนไซม์ Q10 และไฮยาลูรอนเป็นสารที่ร่างกายต้องการน้อยมาก เรียกว่า ไมโครนูเทรียน (Micro Nutrian) เพราะสังเคราะห์ได้เองจากอาหารที่เรากิน แต่มีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อการสังเคราะห์และการลดของสารเหล่านี้ ซึ่งจะนำมาพิจารณาได้ว่า เราต้องการอาหารเสริมสำหรับผิวหรือไม่
โคเอนไซม์ Q 10 สารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยการแบ่งเซลล์ของผิวหนัง และชะลอการสูญเสียไฮยาลูโรเนด นอกจากนี้ยังทำหน้าที่สร้างพลังงาน จึงพบโคเอนไซม์ Q10 มากในผิวและอวัยวะที่ต้องการพลังงาน เช่น หัวใจ ตับ ปัจจุบันกำลังทดลองใช้โคเอนไซม์ Q 10 รักษาโรคต่างๆ ได้แก่ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคมะเร็ง ไมเกรน โรคเกี่ยวกับความเสื่อม เช่น สมองเสื่อม อัลไซเมอร์ พาร์คินสัน โรคหัวใจ หัวใจขาดเลือด เอดส์ ฯลฯ
มีการทดลองมากมายพบว่า การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของโคเอนไซม์ Q 10 อย่างการทาจะป้องกันยูวีเอได้ดี ผลคือช่วยลดการทำลายคอลลาเจนและไฮยาลูโรเนดในผิว ทั้งยังช่วยปรับสภาพผิวให้สวยขึ้นภายใน 6 เดือน ปกติร่างกายจะสังเคราะห์โคเอนไซม์ Q 10 จากอาหารประเภทโปรตีน คือ ปลาและเครื่องในสัตว์ โดยเฉพาะตับและหัวใจ
การกินโคเอนไซม์ Q 10 เป็นอาหารเสริมควรบริโภคในปริมาณ 30-50 มิลลิกรัมต่อวัน เพราะหากกินมากเกินไปจะเกิดอาการ คลื่นไส้อาเจียน ผื่นคัน ปวดหัว ท้องเสีย เจ็บหน้าอก เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ มึนงง หงุดหงิด กระสับกระส่าย ตาแพ้แสง อ่อนเพลีย ครั่นเนื้อครั่นตัว ผู้ที่ต้องระวังคือผู้ป่วยโรคเบาหวานน้ำตาลต่ำเพราะจะทำให้น้ำตาลลด และคนที่เป็นโรคเลือดเพราะโคเอนไซม์ Q 10 จะไปลดประมาณเกล็ดเลือดทำให้เลือดออกง่าย รวมถึงคนที่เป็นความดันต่ำ คนท้อง และแม่ที่ให้นมลูก
คอลลาเจน โคเอนไซม์ Q10 และไฮยาลูรอนเป็นสารที่ร่างกายต้องการน้อยมาก เรียกว่า ไมโครนูเทรียน (Micro Nutrian) เพราะสังเคราะห์ได้เองจากอาหารที่เรากิน แต่มีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อการสังเคราะห์และการลดของสารเหล่านี้ ซึ่งจะนำมาพิจารณาได้ว่า เราต้องการอาหารเสริมสำหรับผิวหรือไม่
1.หากอายุมากกว่า 20 ปี ระบบซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายจะด้อยประสิทธิภาพลง ประกอบกับฮอร์โมนที่ลดลงและภูมิคุ้มกันไม่สมดุลจึงส่งผลต่อผิว
2.การรับประทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่ หรือการกินอาหารที่มีสารพิษเจือปนทำให้ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์สารที่จำเป็นต่อร่างกายได้
2.การรับประทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่ หรือการกินอาหารที่มีสารพิษเจือปนทำให้ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์สารที่จำเป็นต่อร่างกายได้
วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2555
ได้เวลาโชว์ผิวใต้วงแขนแล้วค๊า
4 สาเหตุรักแร้ดำ พร้อมทางแก้ไข!
1. เหงื่อ คือ สาเหตุหลักของความดำคล้ำที่เกิดขึ้นกับสาวๆ บางคน เมื่อพวกเธอมีเหงื่อออกมากเกินไปประกอบกับการใช้น้ำหอมหรือผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย เมื่อรวมกันแล้วอาจเกิดปฏิกิริยาบางอย่างจึงทำให้ผิวมีสีเข้มขึ้นกว่าบริเวณอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้เป็นเวลานาน
วิธีแก้รักแร้ดำ : ลองเปลี่ยนยี่ห้อผลิตภัณฑ์ หยุดใช้น้ำหอมและผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อ (Antiperspirant)
2. ผิวหนังถูกเสียดสี สาวๆ เจ้าเนื้ออาจเป็นกันมาก ยิ่งคนที่ใส่เสื้อคับๆ ซึ่งใต้วงแขนจะเสียดสีกับเนื้อผ้าได้ง่าย เช่นเดียวกับการถูกเสียดสีจากใบมีดในคนที่ชอบใช้มีดโกนขนใต้วงแขน ยิ่งไปกว่านั้นการโกนขนมากเกินไปอาจทำให้ขนที่ขึ้นใหม่หนากว่าเดิม จึงอาจเห็นผิวเป็นรอยดำคล้ำได้เพราะไรขนที่กำลังจะขึ้นใหม่
วิธีแก้รักแร้ดำ : หยุดใช้มีดโกนขน แต่ใช้วิธีแว็กซ์หรือใช้แหนบถอนขนแทนเพื่อกำจัดจนถึงรากขน
3. เซลล์ที่ตายแล้วทับถมอยู่ เนื่องจากคุณไม่เคยขัดผิวเลย
วิธีแก้รักแร้ดำ : ลองขัดผิวด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดแล็กติก
4. ไม่รักษาความสะอาด เราไม่ได้พูดถึงขี้ไคลที่หมักหมม แต่หากผิวหนังของเราไม่สะอาดโรคผิวหนังบางชนิดอาจมาเยือนและอาจเกิดการสร้างเม็ดสีผิดปกติ ยิ่งถ้าบริเวณใต้วงแขนมีสีดำคล้ำ ประกอบกับมีอาการคันและส่งกลิ่นแรงกว่าปกติก็เป็นไปได้ว่า แบคทีเรียบางชนิดกำลังกบดานและเติบโตอย่างรวดเร็วในบริเวณดังกล่าว
วิธีแก้รักแร้ดำ : พบแพทย์ผิวหนัง
13 วิธีลดอ้วนแบบเร่งด่วน
13 เคล็ดลับ
ลดความอ้วนแบบเร่งด่วนด้วยตนเอง
1. ไฟเบอร์ นอกจากช่วยในระบบขับถ่ายแล้วยังช่วยล้างของเสียและสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ออกจากร่างกายและเส้นเลือดด้วย
2. นมอุ่นๆ ช่วยผลิตเมลาโทนินที่ทำให้คุณหลับสบายเมื่อคุณหลับร่างกายจะเร่งสร้างฮอร์โมนที่กระตุ้นการสร้างกล้ามเนื้อขึ้นมา
3. กาเฟอีน ช่วยกระตุ้นเมตาบอลิซึ่มหรือระบบเผาผลาญในร่างกายซึ่งจะทำให้คุณเผาผลาญแคลอรีได้มากขึ้น
เมื่ออัตราการเต้นของหัวใจถูกกระตุ้นก็จะส่งผลให้ระบบอื่นๆ ทำงานเร็วขึ้นไปด้วย
4. เซลารี่
หรือ ขึ้นฉ่ายฝรั่ง เหมาะจะเป็นของว่างสำหรับคุณ เพราะมันช่วยในการเผาผลาญแคลอรีได้ดีนัก
5. สารช่วยในการระบาย ไม่ใช่ยาถ่ายแต่เป็นอาหารที่ช่วยระบายท้อง
เช่น ลูกพรุน หรือชา จะช่วยเคลียร์ระบบภายในร่างกายและรีดเอาของที่ไม่ดีออกไป
6. หมากฝรั่ง เมื่อปากคุณไม่ว่างเพราะกำลังเคี้ยวหมากฝรั่งหนึบๆ
อยู่ นอกจากคุณจะแตะอาหารอื่นน้อยลงแล้วการเคี้ยวหมากฝรั่งยังช่วยเร่งระบบเผาผลาญให้คุณได้ด้วยนะ
แต่ระวังอย่าเคี้ยวมากไปเพราะกรดในกระเพาะคุณอาจเสียหายได้
7. กล้วย ช่วยกระตุ้นพลังงานในร่างกายเมื่อคุณมีพลังมากขึ้นและได้ออกกำลัง
ร่างกายก็จะนำเอาคาร์โบไฮเดรตหรือแป้งที่สะสมไปใช้
8. ช็อกโกแลตบาร์ มันไม่ได้ช่วยคุณลดน้ำหนักหรอก
แต่อย่างน้อยๆ
การกินของหวานสักหน่อยก็ไม่เสียหายดีกว่าที่คุณพยายามจะงดของหวานอย่างสิ้นเชิงจนสุดท้ายแล้วก็ลงแดงจนต้องล้มเลิกแผนไดเอ็ตน่ะ
9. น้ำ สิ่งที่คุณไม่ควรลืมเพราะน้ำช่วยเติมคุณค่าให้ร่างกายคุณอยู่เสมอในระหว่างไดเอ็ตทั้งยังช่วยชำระล้างของเสียและเคลียร์ระบบในร่างกาย
10. ผักสด เปี่ยมด้วยคุณค่าจากน้ำและไฟเบอร์เหมือนกันช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยอาหาร
ควบคุมน้ำตาลในเลือด และให้แคลอรีต่ำ
แต่มีมวลรวมค่อนข้างสูงที่จะช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มได้ไม่ยากโดยที่ไม่ได้รับแคลอรีไปมากมาย
11. เกรปฟรุต เป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับในการช่วยไดเอ็ตคุณสามารถใส่ในชามซีเรียลแล้วกินคู่กันในตอนเช้าก็จะได้อาหารที่มีไฟเบอร์สูงและยังเหมาะจะรับประทานเป็นของว่างด้วย
ซึ่งปริมาณน้ำที่สูงมากในเกรปฟรุตช่วยล้างสารที่ไม่ดีออกจากร่างกายและยังมีคุณค่าจากสารพัดวิตามินโดยเฉพาะวิตามินบี
คอมเพล็กซ์ที่ช่วยเพิ่มศักยภาพให้ร่างกายทำให้คุณดึงคาร์โบไฮเดรตที่ได้รับไปใช้และไม่สะสมอยู่ในร่างกายจึงส่งผลให้ไขมันสะสมลดลงไปด้วย
12. ผลไม้สด ผลไม้สดอุดมไปด้วยน้ำ
เช่น แอปเปิ้ล สับปะรด สตรอวเบอร์รี่ และเกรปฟรุต อุดมไปด้วยน้ำถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ส่วนแตงโมนั้นให้น้ำมากถึง
92 เปอร์เซ็นต์ คุณอาจกินซีเรียล กินผลไม้
หรือเสริมด้วยผลไม้จำพวกเบอร์รี่เข้าไปหลังอาหารแต่ละมื้อ
13. โปรตีน เปลี่ยนจากการทอดมาเป็นย่างแทนสำหรับเนื้อสัตว์โดยสุดยอดของโปรตีนที่มีประโยชน์มากก็คือ
เนื้อปลาแซลมอน ไก่งวง ที่ให้โปรตีนเต็มเปี่ยมแต่แคลอรีไม่สูงเกินและปริมาณไขมันอิ่มตัวก็น้อย
สำหรับคนรับประทานมังสวิรัติก็เน้นเป็นถั่วเหลืองแทน
13 วิธีง่ายๆแบบเร่งด่วน ลองนำไปใช้กันดูนะคะเพื่อหุ่นสวยรอเพื่อนๆอยู่นะ
วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2555
รู้ก่อนซื้อครีมกันแดด
|
|
ปัจจุบันครีมกันแดดที่ขายกันทั่วไปในห้างสรรพสินค้า หรือ ตามร้านค้า มีบางยี่ห้อบอกว่า มี SPF ที่ 130 และนอกจากนั้นถ้าคุณสังเกตเพิ่มอีกจะพบว่า มีสัญลักษณ์คำว่า “PA” แสดงหลังค่า SPF อยู่ เช่น SPF15 PA++ แล้ว “SPF” มันคืออะไร แล้วยังจะ “PA” อีกล่ะมันบอกอะไร แล้วเรามาเรียนรู้กันว่า เราควรใช้ SPF ที่มีค่าสูง ๆ หรือไม่? ครีมกันแดด ทำงานอย่างไร ส่วนผสมในครีมกันแดดจะทำหน้าที่ในการปกป้องผิวจากรังสี UV ด้วยการดูดซับรังสี ,ป้องกันแสง UV ไม่ให้ผ่านเข้าไปถึงชั้นผิว หรือทำให้รังสี UV แตกกระจายออกไปเพื่อไม่ให้เข้าทำร้ายผิวโดยตรง สำหรับคำแนะนำในการใช้ครีมกันแดด ครีมกันแดด ที่ดีที่สุด คือครีมกันแดดที่สามารถที่จะป้องกันแสง UV ได้เพียงพอ(ซึ่งอาจจะขึ้นกับความแรงของแสง) เพื่อให้ได้ผลดีที่สุด ควรทาครีมกันแดดก่อนออกไปสู่ที่มีแสงแดด 30 นาที(ส่วนใหญ่มักจะพบคำแนะนำนี้ตามขวดของครีมกันแดดกันนะ) แล้ว SPF คืออะไร SPF ย่อมาจาก Sun Protection Factor โดยค่าของการปกป้องแสงแดด ถูกกำหนดด้วยระบบของ SPF เอง โดยส่วนใหญ่จะคำนวณจากปริมาณจากการป้องกันรังสี UVB ตัวเลขของ SPF บ่งบอกถึงความสามารถในการปกป้องผิวจากการถูกเผาไหม้จากแสงแดด ได้นานเท่าไหร่ เช่น SPF15 หมายถึง ป้องกันผิวจากการไหม้ได้ 15 เท่า เช่น ปกติคุณออกไปสู่แดดโดยไมได้ทาครีมกันแดดแล้วผิวไหม้ภายใน 20 นาที ถ้าหาก ทาครีมกันแดด SPF15 แล้ว จะทำให้การที่ผิวจะถูกแสดงแดดทำลายผิวให้ไหม้นั้น ต้องใช้เวลา เป็น 15 เท่าของ 20 นาที หรือ ประมาณ 300 นาที(5 ชั่วโมง) ผิวถึงจะถูกไหม้จากแสงแดด(ปกติถ้าไม่ใช่งานกลางแจ้งแล้วก็คงไม่ออกไปหาแดด ถึง 5 ชั่วโมงหรอกนะ ร้อนจะตาย ) ทำไม SPF สูง ก็ไม่ได้ดีกว่าเสมอไป โดยทั่วไป ครีมกันแดด SPF ประมาณ 15 ก็เพียงพอแล้วสำหรับคนทั่ว ๆ ไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในแถบเอเชียอย่างเรา แต่สำหรับคนที่ผิวไวต่อแดด หรือถูกผิวถูแผดเผาให้หมองคล้ำได้ง่ายนั้น ใช้ SPF 30 ก็ถือว่าเพียงพอ ค่า SPF สูง ๆ นั้น ไม่ได้หมายความว่า จะปกป้องแสดงแดดได้ดีไปกว่า ค่า SPF ที่ต่ำกว่า ในความเป็นจริงแล้ว ค่า SPF สูง ๆ นั้นจะก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังสำหรับคนที่มีผิวแพ้ง่าย และยังเป็นไปไปได้ว่าอาจจะมีผลข้างเคียงที่อาจจะก่อให้เกิดอาการแพ้เช่นอาจจะเกิดผดผื่นคันได้ นอกจากนี้ยังอาจจะทำให้สีผิวของเราไม่สม่ำเสมอ เกิดรอยด่างขึ้นได้ และยังอาจจะทำให้เสื้อผ้าเป็นคราบสีเหลืองติดเสื้อผ้าอีกด้วย จึงแนะนำว่าควรใช้ยากันแดดค่า SPF สูง (15 ขึ้นไป) ในกรณีที่ต้องตากแดด เป็นเวลานานติดต่อกันและใช้ค่า SPF ต่ำ ในกรณีที่โดนแดดเป็นครั้งคราวระหว่างวัน PA คืออะไร ครีมกันแดดใหม่ ๆ ที่วางขายกันในตลาดมักประกอบไปด้วย UVA Filter และค่าที่วัดการป้องกันรังสี UVA เรียกว่า PA PA ย่อมาจากคำว่า Protection Grade of UVA ในขณะนี้ยังไม่มีหน่วยวัดที่เป็นมาตรฐานในการวัดค่าการดูดซืมของรังสี UVA ดังนั้นจึงถือเอาคำว่า PA เป็นหน่วยวัดรังสี UVA อย่างไม่เป็นทางการ ค่า PA นั้นจะมี 3 ระดับคือ PA+,PA++ และ PA+++ PA+++ นั้นสำหรับผู้ที่ต้องการ การปกป้องสูง (เจอกับแสงแดดจัด ๆ เป็นเวลานาน) PA+ สำหรับผู้ที่ต้องการปกปกแสงแดด จากกิจกรรมทั่ว ๆไป (อาจจะไม่ได้เจอกับแสงมากนัก) ดังนั้นสำหรับใครที่จะต้องเจอกับแสงแดดเป็นเวลาหลายชั่วโมง ให้เลือก PA++ หรือ สูงกว่านี้ ถ้ารู้อย่างนี้แล้วเราก็ขอแนะนำให้ใช้ครีมกันแดดให้เหมาะสมตามสภาวะของชีวิตประจำวันนะคะ |
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)