วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2556

รู้มั๊ยใช้กระเป๋าสีไหนแล้วรวย??


รู้มั๊ยใช้กระเป๋าตังค์สีไหนแล้วรวย??
คนเกิดวันจันทร์ ไม่ควรใข้กระเป๋า สตางค์สีแดงหรือกระเป๋าสตางค์ที่ทำมาจากหนังสัตว์ แต่กระเป๋าที่เหมาะจะใช้ควรเป็น สีน้ำตาลหรือสีม่วง
คนเกิดวันอังคาร ไม่ความใช้กระเป๋าที่ทำจากหนังสัตว์ ส่วนสีต้องห้ามสำหรับคนเกิดวันอังคารคือสี น้ำตาล และสี ครีม ส่วนสีที่ถูกโฉลกกับคุณคนเกิดวันอังคาร ได้แก่ สีชมพู สีแสด และสีส้ม
คนเกิดวันพุธ สีที่เหมาะกับคนเกิดวันพุธ ได้แกสี เขียวครีมและน้ำตาล ไม่ควรใช้ สีดำ และชมพู กระเป๋าที่ทำจากหนังสัตว์โดยเฉพาะที่ทำจากหนังของสัตว์ปีก
คนเกิดวันพฤหัสบดี สีที่เหมาะและแนะนำคือ สีแดง หรือส้ม ห้ามอยู่สีเดี่ยวคือ สีดำ สำหรับกระเป๋าต้องไม่ใหญ่เกินไป เลือกที่มีช่องใส่พอประมาณไม่เยอะมากเกิน
คนเกิดวันศุกร์ สีของกระเป๋าสตางค์ที่ไม่ควรใช้เลยคือ สีดำ หรือสีโทนมืดๆ ทึมๆไม่สดใส และควรใช้กระเป๋าที่รูปแบบเรียบหรูไม่แปลกเกินไป เพราะจะทำให้เก็บเงินไม่อยู่ ส่วนสีที่ดีและควรใช้ คือ สีฟ้าและสีชมพู
คนเกินวันเสาร์ สีที่เหมาะกับคุณคือ สีม่วง และ สีฟ้า คนเกิดวันเสาร์ ควรใช้กระเป๋าที่ดูไม่เก่าเร็วเกินไป และไม่ควรใช้ สีเขียว หรือน้ำตาล เพราะจะทำให้ไม่มีโชคลาภ และควรจะต้องดูแลให้ใหม่เสมอ
คนเกินวันอาทิตย์ ควรใช้สีกระเป๋าสตางค์ สีโทนสว่าง หรือสีเขียว หรือน้ำตาลอ่อน ไม่ควรใช้กระเป๋าสตางค์ สีฟ้า สีดำ และไม่ควรใช้กระเป๋าที่ทำจากหนังของสัตว์ทะเล 

มาดูกันว่าประเทศไทยติดอันดับอะไรบ้าง


มาดูกันว่าประเทศไทยติดอันดับอะไรบ้าง^^

1. แกงมัสมั่น ประเทศไทย อร่อยที่สุดในโลก และ อันดับ 8 คือ ต้มยำกุ้ง จัดอันดับโดย CNN
2.ไทยดื่มเหล้าอันดับ 5 ของโลก โดยเฉพาะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชนิดกลั่น
3. ประเทศไทยมีจีดีพีทั้งสิ้น 9.5 ล้านล้านบาท คิดเป็นลำดับที่ 24 ของโลก นับว่าไทยมีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นอันดับที่ 2 รองจากอินโดนีเซีย
4.ประเทศไทยถือครองสินทรัพย์ในรูปเงินตราต่างประเทศเป็นมูลค่า 172,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ซึ่งมากเป็นอันดับที่ 11 ของโลก
5.ประเทศไทยมีอุตสาหกรรมรถยนต์ใหญ่เป็นอันดับที่ 13 ของโลก ผู้เชี่ยวชาญพยากรณ์ว่า ภายใน พ.ศ. 2558 ประเทศไทยจะเป็นหนึ่งในสิบประเทศผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลก
6.ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการว่างงานต่ำที่สุดในโลก(ปี2555)
7. เกษตรกรรม การป่าไม้และการประมงสร้างรายได้ให้กับประเทศคิดเป็นเพียง 8.4% ของจีดีพี
8.ไทยติดอันดับละเมิดลิขสิทธิ์ 1 ใน 10 ของโลก มูลค่าตลาดสูงกว่า 1,600 ล้านบาท เป็นอันดับ 3 ในเอเชียรองจากจีนและไต้หวัน(2546)
9.ประเทศไทยมีนางงามจักรวาลแล้ว 2คน ซึ่งเป็นอันดับที่ 5
10.ประเทศไทยใช้อินเตอร์เน็ตมากเป็นอันดับที่ 19ของโลก
11.ไทยติดอันดับอันดับ 5 ของโลก ในการแพร่เว็บลามก (2549)
12.กรุงเทพมหานครติดอันดับเมืองน่าเที่ยว 1ใน5 ทุกปี
13.ประเทศไทยมีความสุขเป็นอันดับที่ 5 ของโลก
14.ประเทศไทยเล่น HI5 Camfrog IG Lineและ Facebook เยอะเป็นอันดับต้นๆ ของโลก
15.ตลาดหุ้นไทย โดยให้ผลตอบแทนสูงถึงกว่า 35% ติดอันดับหุ้นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดในโลกอันดับ 5 (ปี2555)
16. ประเทศไทยจัดเป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรมากเป็นอันดับที่ 20 ของโลก
17.กรุงเทพมหานครรถติดเป็นอันดับที่ 4 ของโลก
18.ผู้หญิงไทยสวยอันดับ 3 ของเอเชียจากการโหวต
19.เด็กไทยได้เหรียญโอลิมปิกวิชาการทุกปี
20.ประเทศไทยมีผู้สูงอายุสูงสุดในอาเซี่ยน
21.ไทยน่าลงทุนมากที่อันดับที่ 18 โลก อันดับ 1ของอาเซี่ยน

ขอบคุณข้อมูล Dek-d.com

วันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556

กินอะไรให้ความจำดี?


กินอะไรให้ความจำดี?

1. พืชผักจำพวกหอมหัวใหญ่ พริก ขิง มีสารสำคัญที่ช่วยเพิ่มเซลล์สมองและกระตุ้นการหลั่งสารอะซีทิลโคลีนจึงช่วยให้ความจำดีขึ้น

2. ใบบัวบก มีสารที่ช่วยกระตุ้นการเรียนรู้ของสมองทำให้สมองตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้ดี สมาธิดี และความจำดีขึ้น

3. เนื้อสัตว์ มีสารทอรีนที่พบเฉพาะในโปรตีนจากเนื้อสัตว์เท่านั้นช่วยบำรุงสมอง

4. ปลาทะเล มีโอเมก้า 3 ช่วยให้เซลล์ประสาททำงานได้อย่างเป็นปกติ ลดการเกิดพลัค (plaque) ในสมองและป้องกันอัลไซเมอร์ได้

5. ธัญพืช มีกรดโฟลิก วิตามินบี 12 และวิตามินบี 6 เช่น ซีเรียลธัญพืช รำข้าว หรือข้าวซ้อมมือ อาหารเหล่านี้จะช่วยในเรื่องความจำได้เป็นอย่างดี

6. มะเขือเทศ มีไลโคพีน สารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ช่วยป้องกันเซลล์จากการถูกทำลายของอนุมูลอิสระซึ่งพบ ในอาการของโรควิกลจริตและอัลไซเมอร์

7. บร็อกโคลี เป็นแหล่งรวมของวิตามินเคที่ช่วยในการเพิ่มศักยภาพในการเรียนรู้และช่วยเพิ่มความสามารถในการจำ

8. ถั่ว ผักใบเขียว ไข่ ข้าวซ้อมมือ มีวิตามินอีช่วยในการป้องกันความจำเสื่อม

9. เมล็ดฟักทอง มีสังกะสีที่มีความสำคัญในการช่วยเพิ่มความทรงจำ ถ้ารับประทานเมล็ดฟักทองวันละ 1 กำมือ จะทำให้ได้รับสังกะสีเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
นอกจากอาหารที่แนะนำมาแล้วนั้นยังมีผลการศึกษาวิจัยใหม่ๆ จากนักประสาทวิทยา สหรัฐฯ พบว่า สารเคมีในช็อกโกแลต ชา องุ่น และผลบลูเบอรี่ช่วยบำรุงความจำได้ โดยช่วยให้เลือดลมในสมองเดินดีขึ้นและหากออกกำลังเพิ่มด้วยแล้วก็จะยิ่งช่วย ให้สมองทำงานได้ดียิ่งขึ้น

หากต้องการให้สมองของเราดีมีความจำที่เป็นเลิศก็อย่าละเลยการรับประทานอาหาร ที่มีประโยชน์บำรุงความจำ และถ้าจะให้ผลดีก็ต้องรับประทานเป็นประจำด้วยสมองก็จะดีแบบเสมอต้นเสมอปลาย ค่ะ

ทำทุกวิธีแต่น้ำหนักก็ยังไม่ลด???


ทำทุกวิธีแต่น้ำหนักก็ยังไม่ลด???

 1. คุณกินชดเชยหลังออกกำลังกายใช่ไหม?
สาว ๆ หลายคนเคยชินกับการให้รางวัลตัวเองด้วยของหวานสักชิ้น หรือน้ำหวานสักแก้วหลังจากออกกำลังกายอย่างหนัก (ก็เพิ่งเบิร์นไปตั้งหลายแคลอรี่นี่นา) แต่การกินแบบนี้จะทำให้ที่คุณออกกำลังมาน่ะเหนื่อยเปล่า! แถมบางทีพลังงานที่คุณกินอาจจะมากกว่าที่เพิ่งใช้ไปด้วยซ้ำ
2. คุณอาจจะนอนไม่พอ
นอนดึก ๆ หรือนอนน้อย ๆ ไม่ได้ช่วยให้ร่างกายมีเวลาเผาผลาญพลังงานมากขึ้น แต่กลับทำให้ประโยชน์ที่ควรได้จากการออกกำลังกายลดลง และทำให้น้ำหนักของคุณเพิ่มขึ้นด้วย ถ้าคุณนอนไม่พอเมตาบอลิซึม จะทำงานช้าลงตรงข้ามกับความอยากอาหารที่เพิ่มขึ้น
3. คุณเครียดเกินไปไหม?
ยิ่งคุณเครียดมากเท่าไหร่ น้ำหนักคุณก็ยิ่งเพิ่มขึ้นง่ายเท่านั้น เวลาเครียด ๆ ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมาทำให้ความอยากอาหารและการกักเก็บพลังงานในรูปไขมันเพิ่มขึ้น (พุงจะยื่นเลยล่ะ)
4. คุณกินน้อยเกินไปล่ะมั้ง
กินน้อยได้พลังงานน้อยก็จริง แต่ถ้ากินน้อยเกินไปร่างกายจะปกป้องตัวเองตามสัญชาตญาณด้วยการลดอัตราเมตาบอลิซึมลง เพื่อกักเก็บพลังงานเอาไว้ (ป้องกันไม่ให้อดตาย!)
5. คุณลดไม่ต่อเนื่องหรือเปล่า?
การลดอาหารและออกกำลังไม่ต่อเนื่องนั้น แย่ยิ่งกว่าการกินมาก ๆ ออกกำลังกายน้อย ๆ เสียอีก เพราะจะทำให้ร่างกายของคุณปรับตัวไม่ทัน ดีไม่ดีตอนที่คุณกำลังกินอย่างเพลิดเพลิน ร่างกายอาจกำลังเร่งเก็บพลังงานไว้ใช้ตอนที่คุณลดน้ำหนักก็ได้
6. คุณไม่ได้อยากลดน้ำหนักจริง ๆ
ถามตัวเองให้แน่ ๆ ว่าคุณอยากจะลดน้ำหนักแบบจริงจังหรือเปล่า เพราะถ้าคุณไม่ได้ตั้งใจจริง ไม่นานคุณก็จะเบื่อและท้อ พอมีอะไรมายั่วหน่อยก็อยากกิน อาจจะเดี๋ยวทำเดี๋ยวเลิกจนไขมันพุ่งขึ้นมากกว่าเดิมเสียอีก
7. คุณออกกำลังไม่หลากหลายล่ะสิ
ออกกำลังกายอยู่อย่างเดียวจนเป็นกิจวัตรประจำวันนอกจากจะน่าเบื่อแล้ว ยังทำให้การเบิร์นไม่ได้ผลเท่าเดิมด้วยนะ เพราะคุณเคยชินกับมันจนเกินไปยังไงล่ะ ปรับเปลี่ยนซะบ้างนะ
8. น้ำหนักที่เห็นอาจไม่สัมพันธ์กับไขมันก็ได้
น้ำหนักที่คุณชั่งได้มีทั้งน้ำหนักของน้ำ มวลกล้ามเนื้อ แล้วก็ไขมัน การออกกำลังกายมาก ๆ อาจทำให้กล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นมาแทนที่ไขมันที่หายไป คุณถึงยังน้ำหนักเท่าเดิมยังไงล่ะ
9. คุณอาจใจร้อนเกินไป
ร่างกายคนเราไม่เหมือนกัน บางคนออกกำลังแป๊บเดียว น้ำหนักก็ลดลงไปเห็น ๆ แต่บางคนอาจต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์ หรืออาจจะเป็นเดือน อย่าใจร้อน! ให้เวลากับตัวเองหน่อย ถ้าคุณพยายามเดี๋ยวก็เห็นผลเองไม่ต้องรีบ
10. บางทีคุณอาจจะเป็นโรค (ที่ไม่เคยรู้)
โรคบางโรค เช่น ภาวะมีถุงน้ำที่รังไข่ (PCOS) ต่อมธัยรอยด์ผิดปกติ หรือฮอร์โมนที่ไม่สมดุล อาจจะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น และลดลงได้ยาก หากรู้สึกผิดปกติมาก ๆ ออกกำลังกาย และควบคุมอาหารมาเป็นเดือน ๆ น้ำหนักก็ไม่หายไปเลย ลองปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจร่างกายดูนะคะ

วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2556

อาหารที่ช่วยให้ผมเริศถึงขีดสุด


อาหารที่ช่วยให้ผมเริศถึงขีดสุด


นม รวมทั้งชีสและโยเกิร์ต คือแหล่งโปรตีนสำคัญที่ช่วยบำรุงสุขภาพผม
ปลา เช่น ปลาแซลมอน และปลาแมคเคอรล มีกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่ช่วยชะลอผมหลุดร่วง รวมทั้งธาตุเหล็กและวิตามินบี 12 ที่ช่วยบำรุงเส้นผม
ธัญพืช สังกะสีช่วยในเรื่องของฮอร์โมนที่จะทำให้ผมหนานุ่ม รวมทั้งมีวิตามินบีและธาตุเหล็กสูง
วอลนัต มีชีลีเนียมที่ช่วยบำรุงหนังศีรษะ ลดการเกิดผมหลุดร่วงและรังแค
ถั่วจำพวกฝัก มีสังกะสีและโปรตีนสูง รวมทั้งธาตุเหล็กที่ช่วยบำรุงเส้นผมให้แข็งแรง ไม่เปราะขาดง่าย
แครอท นอกจากวิตามินเอจะดีต่อสายตาแล้ว ยังมีส่วนช่วยบำรุงน้ำมันในเส้นผมและดูแลหนังศีรษะด้วย
ไข่ โปรตีนจากไข่นั้นจำเป็นต่อการเสริมสร้างสลับผม หากไม่ได้โปรตีนเพียงพอก็มีผลต่อสุขภาพผมด้วย
ผักสีเขียวเข้ม เช่น บร็อกโคลี่ ผักโขม เป็นแหล่งรวมของธาตุเหล็กและแคลเซียมที่เสริมการบำรุง และกระตุ้นน้ำมันในต่อมรากผม
เนื้อสัตว์ปีก เนื้อเป็ด ไก่ และไก่งวง อุดมด้วยโปรตีนและธาตุเหล็กที่เสริมสร้างการบำรุงต่อมรากผม
หอยนางรม มีแร่ธาตุอย่างสังกะสีสูง ซึ่งส่งผลให้มันมีสารต้านอนุมูลอิสระด้วย
กล้วย การขาดวิตามินบี 6 เป็นสาเหตุหนึ่งของผมหลุดร่วง ซึ่งวิตามินสารพัดชนิดในกล้วยจะช่วยบำรุงให้ผมแข็งแรงและเงางาม
ข้าวกล้อง คาร์โบไฮเดรตและวิตามินบีในข้าวกล้องทำให้เส้นผมแข็งแรง และมีอายุยืนขึ้นได้